Powered By Blogger

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โน้ตบุ๊ก Core i7 + Win7 มาแล้ว

หลังจากระบบปฏิบัติการ Windows 7 จะเปิดตัวมาได้กว่าสัปดาห์แล้ว เหล่าบรรดาผู้ผลิตโน้ตบุ๊กก็ยังคงเดินหน้าเปิดตัวรุ่นใหม่ออกมาเป็นระยะๆ ล่าสุดทาง เลอโนโว (Lenovo) ได้ออกโน้ตบุ๊กไฮเอ็นด์ทีมาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ Intel Core i7 ตลอดจนรุ่นประหยัดพลังงาน และมีความบางเบาเป็นพิเศษเช่นเดียวกับผู้ผลิตโน้ตบุ๊กรายอื่นๆ แล้วด้วยเช่นกัน

IdeaPad Y550P โน้ตบุ๊กไฮเอ็นด์สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการใช้งานระบบมัลติมีเดีย และการเล่นเกมส์ที่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากเป็นโน้ตบุ๊กตัวแรกที่ขุมพลังภายในเครื่องเป็น Intel Core i7 ด้วยขนาดหน้าจอกว้าง 15.6 นิ้ว 16:9 ความละเอียด 1,366x 768 พิกเซล เว็บแคม 1.3 ล้านพิกเซล ไดรฟ์สามารถอัพเกรดเป็น Blue-ray ได้ โดยสนนราคาเริ่มต้นที่ 1,399 เหรียญฯ หรือประมาณ 47,000 บาท ส่วนรายละเอียดสเป็กขั้นเทพของ IdeaPad Y550P มีดังนี้




  • โพรเซสเซอร์ Intel Core i7
  • กราฟิกการด์ Nvidia GeForce GT 240M
  • หน่วยความจำ DDR3 8GB
  • ฮาร์ดดิสก์ 500GB
  • อัพเกรดเป็น Blu-ray

    นอกจากจะมีรุ่นไฮเอ็นด์อย่าง Y550P แล้วทางเลอโนโวยังได้อัพเกรดโน้ตบุ๊กรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง IdeaPad U350 เพื่อตอบรับกระแสความต้องการโน้ตบู๊กบางเบาที่ตอบสนองงานได้หลากหลาย และสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานขึ้ัน โดยจากเดิมทีใช้โพรเซสเซอร์ Single Core ULV ก็อัพเกรดเป็น Core 2 Duo ULV โดยมีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกันคือ U150 ทีมีขนาดหน้าจอกะทัดรัด 11.6 นิ้ว สนับสนุน Windows 7 สำหรับราคาของ IdeaPad U150 จะเริ่มต้นที่ 585 เหรียญฯ (ประมาณ 19,600 บาท) และมีน้ำหนักแค่ 2.98 ปอนด์ (ประมาณ 1.35 กิโลกรัม)

สำหรับ IdeaPad U550 เป็นโน้ตบุ๊ก Windows 7 อีกรุ่นหนึ่งทีมีขนาด (15 นิ้ว) และฟังก์ชันประมาณ MacBook (พยายามเทียบรุ่นน่ะครับ) ทำให้มันเป็นโน้ตบุ๊กที่ไฮบริดระหว่างโน้ตบุ๊กใช้งานหลักกับโน้ตบุ๊กรุ่นบางเบา โดยมาพร้อมกับกราฟิกบนเมนบอร์ด และการ์ดแยกต่างหาก ซึ่งเป็น ATI Mobiility Radeon HD4330 สนนราคาเริ่มต้นของโน้ตบุ๊กรุ่นนี้อยู่ที่ 650 เหรียญฯ (ประมาณ 22,000 บาท)


ข้อมูลจาก www.arip.co.th

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Northbridge และ Southbridge ต่างกันยังไง

ชิปเซ็ตจะแยกออกเป็น2ตัว ได้แก่ชิปNorthbridgeและชิปSouthbrideซึ่งแต่ละตัว จะมีหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกันโดยตัวแรกจะรับผิดชอบดูแลอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยความเร็วสูงๆเช่นcpu,ram และvga cardในขณะที่ชิปตัวหลังนั้นจะดูแลอุปกรณที่ทำงานช้ากว่าเช่น ฮารด์ดิกส์ ชิปNorthbridge เชื่อมต่อโดยตรงกับซีพียูผ่านทางบัสความเร็วสูงที่เรียกว่า'Front Side Bus'(FSB)และในตัวชิปนั้น จะฝังแมมโมรี่คอนโทรลเลอร์ไว้ภายใน เพื่อให้ซีพียูเข้าถึงหน่วยความจำได้เร็ว นอกจากนี้ชิปNorthbridge ยังเชื่อมต่อกับบัสAGPหรือPci expressและหน่วยความจำ

ด้านชิปSouthbrideจะเชื่อมต่อกับส่วนที่ทำงานช้ากว่า Northbridgeและการรับข้อมูลจากซีพียูจะต้องผ่านทางชิปNorthbridgeทั้งหมดนอกจากนี้ยังมีบัสอีกมากมายที่เชื่อมต่อ กับชิปSouthbride ได้แก่บัสPCI,port Usb,การเชื่อมต่อแบบIdeหรือSata ชิปเซ็ตและซีพียูเป้นสิ่งที่ต้องเลือกให้คู่กัน เพราะว่าผู้ผลิตจะออกแบบชิปเซ็ตแบบเจะจงรุ่นมาและชิปเซ็ตจะถูกผลิต มาเป็นส่วนหนึ่งของเมนบอร์ดเลยนั่นหมายถึง ต้องเลือกSocketบนเมนบอร์ดให้ตรงกัยรุ่นของซีพียูเท่านั้นและต้องเลือกชิปเซ็ตที่จะทำงานกับซีพียูได้อย่างดีที่สุดอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

GPU คือ

Graphics Processing unit (GPU) สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งได้คือ visual processing unit (VPU) ซึ่ง GPU มีได้ทั้งที่เป็น การ์ด หรือ เป็นส่วนหนึ่งของแผงเมนบอร์ดก็ได้แต่ในปัจจุบันการ์ดแสดงผลส่วนใหญ่อยู่ใน รูปของการ์ด หน้าที่หลักของ GPU ก็คือช่วยในการประมวลการทำงานในด้านภาพกราฟฟิกบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหลักการทำงานก็คล้ายกับ CPU แต่จะแตกต่างกันตรงที่ การ์ดแสดงผลสมัยเก่า ทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิจิตอลเป็นสัญญาณเท่านั้น แต่จากกระแสความนิยมของการ์ดเร่งความเร็วสามมิติ ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 90 โดยบริษัท 3dfx และ nVidia ทำให้เทคโนโลยีด้านสามมิติพัฒนาไปมาก ปัจจุบันการ์ดแสดงผลสมัยใหม่ได้รวมความสามารถในการแสดงผลภาพสามมิติมาไว้ เป็นมาตรฐาน และได้เรียกชื่อใหม่ว่า GRAPHICS PROCESSING UNIT โดยสามารถลดงานด้านการแสดงผลของของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ได้มาก

อย่างไรก็ตามวงจรแสดงผลเหล่านี้มักมีความสามารถด้านสามมิติค่อนข้างจำกัด แต่ก็เหมาะสมกับงานในสำนักงาน, workstation(สถานีงานเป็นคำที่ใช้อธิบาย สมรรถนะอันยิ่งใหญ่ของไมโครคอมพิวเตอร์ ที่สามารถทำงานพร้อมกันได้หลายงาน (multitasking) ส่วนมากจะใช้ในเรื่องของการออกแบบ (CAD) นั่นก็หมายถึงว่า สถานีงานนี้จะต้องมีหน่วยความจำขนาดใหญ่ มีหน่วยเก็บข้อมูลขนาดพิเศษ มีตัวปรับภาพชั้นยอด มีจอภาพชั้นหนึ่ง และที่สำคัญคือมีตัวประมวลผลที่ทำงานได้เร็วมาก ๆ เช่น RISC ส่วนใหญ่ สถานีงานจะใช้ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX) และ โอเอส/ทู (OS/2) มีบางแห่งที่ใช้เครื่องแมคอินทอชชนิดที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ๆ อย่างไรก็ตาม ในอีกความหมายหนึ่ง สถานีงานอาจหมายถึงเพียงไมโครคอมพิวเตอร์แต่ละตัวในระบบเครือข่าย), GAME CONSOLE เป็นต้น

สำหรับผู้ที่ต้องการความสามารถด้านภาพสามมิติประสิทธิภาพสูง เช่น ใช้เพื่อเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ยังอยู่ในรูปของการ์ดที่ต้องเสียบเพิ่มเพื่อให้ได้ภาพเคลื่อนไหว ที่เป็นสามมิติที่สมจริง ในทางกลับกัน การใช้งานบางประเภท เช่น งานทางการแพทย์ กลับต้องการความสามารถการแสดงภาพสองมิติที่สูงแทนที่จะเป็นแบบสามมิติ เดิมการ์ดแสดงผลแบบสามมิติอยู่แยกกันคนละการ์ดกับการ์ดแบบสองมิติและต้องมี การต่อสายเชื่อมถึงกัน เช่น การ์ด Voodoo ของบริษัท 3dfx ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว

AMD ปะทะ Intel

ผมแวะไปอ่านใน Zone Intel เค้าว่า Intel ดีที่สุด มีข้อมูลอ้างอิงเพียบ แต่ผมเข้ามาฝ่าย AMD ไม่มีคนให้ข้อมูลว่า AMD ดีอย่างไร ผมเกิดอยากตอบโต้ฝั่ง Intel บ้าง เลยรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ มาเพื่อหักล้าง ส่วนฝ่าย Intel เค้าว่ามาอย่างนี้
1. Intel ก้าวหน้ากว่า เพราะใช้ เทคโนโลยี 45 nm แล้ว แต่ AMD ยังใช้ 60 nm อยู่ (0.09ไมครอน =90นาโนเมตร)
อันนี้ขอตอบว่า ไม่จริง เพราะการพัฒนาของ AMD และIntel คู่คี่สูสีผลัดกันขึ้นพลัดกันลง แต่นั่นเป็นความคิดเห็นกับตัวสินค้าที่ออกมาจำหน่ายก่อนเท่านั้น ไม่ได้มองที่การพัฒนา ออกมาขายก่อนไม่ใช่ว่าก้าวหน้ากว่า จริงไหมครับ
2. เค้าว่า การออกแบบ ตัวระบายความร้อนของ Intel มีความประณีตมากกว่า ของ AMD
ขอตอบว่า CPU AMD มีความเย็น เพียงพอไม่ร้อนเหมือนรุ่น Duron หรือรุ่นที่ผ่านมา ใช้แบบธรรมดาก็พอ ส่วนฝ่ายที่ร้อนมาก จำเป็นต้องออกแบบให้มีความประณีต เพื่อให้การระบายความร้อนได้ดีมีประสิทธิภาพ จึงจะรับมือกับความร้อนที่เกิดขึ้นได้ แค่นี้ก็มองเห็นแล้วว่าใครเย็นกว่ากัน (ถ้าสังเกตนิดจะเห็นมีแกนทองแดงที่ตัวระบายความร้อนของ Intel ด้วย ซึ่งจะช่วยให้การระบายความร้อนได้ดีกว่าอลูมิเนียม พูดให้เข้าใจง่าย ว่าร้อนมากจนอลูมิเนียมธรรมดาเอาไม่อยู่ แต่ AMD ไม่ต้องใช้อะไรที่พิเศษ ทุกท่านก็คงเห็นแล้ว คิดเองได้นี่ครับ)
ความจริง ตัวระบายความร้อนของ intel ถ้าให้ ทาบทับ คลุมตัว CPU ทั้งหมดเหมือน AMD ก็ไม่ต้องใช้การออกแบบปราณิตมากนัก แต่กลับทำเป็น วงกลม ปิดไม่มิดตัว CPU จึงทำให้ส่วนที่ไม่ได้สัมผัสกับ ตัวระบายความร้อน นั้นเกิดร้อน ด้วยการที่ฉีกแนวจากทฤษฎีการระบายความร้อนจึงต้องใช้ตัวระบายความร้อนที่พิเศษและระบายความร้อนได้มากและเร็วนะครับ

3. ตั้งแต่ผมใช้ computer มาหลายสิบปี หรือประมาณ Pentium 100M (100เมกเฮิซ์) ก็เห็น Intel มีข้ออ้างอยู่ข้อเดียว คือ การคำนวณ ด้านจุดทศนิยมดีกว่า หรือในตอนนี้ก็อ้างว่า ตัดต่อ Video ได้ดีกว่าเห็นๆ (ตั้งแต่ใช้ com มาไม่เคยตัดต่อ Video เพราะมีแต่หนัง X ไม่รู้จะตัดไปทำไม ) พวกนี้จะขอบซื้อเผื่อไว้ นะ เหมือนซื้อรถกระบะ เผื่อไว้บรรทุก แต่ว่า 1 ปี ก็บรรทุกไม่เกิน 10 ครั้ง แต่ต้องไปไหนทุกวันกับครอบครับ ต้องนั่งเบียดกันอยู่ด้านหน้า 5 -6 คน (กระบะหลังทั้งว่างทั้งโล่งใช้ประโยชน์ไม่คุ้มเต็มประสิทธิภาพ)
4. คนใช้ AMD เป็นคนที่ฉลาดที่สุด เพราะซื้อ CPU ที่มีประสิทธิ ภาพคุ้มกับราคา หรือใช้จ่ายเงินซื้อในสวนที่เป็นเนื้อแท้ของสิ้นค้านั้นๆ
5. คนใช้ Intel ก็เป็นคนฉลาด (ขืนบอกว่าโง่ผมคงโดนฝ่าย Intel เหยียบตายแน่) แต่ไม่เฉลียว คือจะซื้อ CPU เพื่อไว้ในอนาคต ว่าจะต้องได้ใช้ทำโน่นทำนี้ เช่น เผื่อไว้ทำงานหนักๆ เดี๋ยวจะทำงานไม่ไหว เผื่อไว้ตัดต่อหนัง video แล้วท่านตัดต่อทุกวันหรือเปล่าละ ถ้าตัดต่อได้ดีอยู่ แล้วจะเปลี่ยนใหม่ทำไม ก็เห็นบอกตัดต่อ Video ได้ดีตั้งแต่ Petium 3 มาโน้น มาถึง E 4600 ก็ยังบอก เหมือนเดิม แต่หารู้ไม่ว่า ภายใน 6 เดือน ราคา CPU ก็ลดลงไปอีก หรือไม่ก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทน ทำให้ต้องการเปลี่ยนมาใช้รุ่นใหม่ๆ ทั้งๆที่ซื้อเผื่อไว้นั้นยังใช้ไม่คุ้มเลย (และยังซื้อมาแพงด้วยดิ)
6. ส่วน คนใช้ AMD เมื่อเทคโนโลยีมาใหม่ ก็เปลี่ยนได้ทันที เพราะ ตอนซื้อมาครั้งแรก ราคาก็ถูกและไม่ได้ซื้อเผื่ออนาคต จึงไม่ต้องเสียดาย (ที่สำคัญ AMD ตัดต่อหนังไม่ได้หรือครับ ชอบอ้างจัง )
7. Intel ความจริงถ้าดูตามประวัติ ไม่ใช่ สุภาบุรุษ หรือเป็นคนดี ต่อสังคมมากนัก สังเกต ผลการทดสอบเป็นแผ่นกระดาษแจกตามหน้าร้านนะครับ ซึ่งผมก็หยิบมาอ่านบ่อยครั้งการทดสอบ จะเห็นว่าเมื่อเทียบกับ AMD แล้วคะแนนทิ้ง***ง จากAMD เยอะมาก (มองแป๊ปรู้ทันทีว่า Intel สุดยอด) แต่ถ้าสังเกตนิด จะมี รูป * กำกับไว้เสมอว่า และเขียนตัวเล็กๆๆ ไว้ใต้ตารางทดสอบว่า ผลการทดสอบข้างต้น ต้องใช้ Chip set ของ Intel เท่านั้นจึงจะได้ประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม
นั่นก็แสดงว่า ถ้าไม่ใช่ Chip set ของ Intel ประสิทธิภาพต้องลดลงถูกต้องไหมครับ (พูดง่ายๆ ก็คือว่า ต้องการขาย Chip set ของตัวเองด้วย ว่างั้นเถอะ ) คือบริษัทผลิตเมนบอร์ดต้องไปซื้อChip set ของ Intel มาผลิตเมนบอร์ดด้วย ซึ่งราคาจะแพงกว่า Chip set บริษัทอื่น เห็นๆ และ ก็จริง เพราะคุณสมบัติต่างๆ หลายอย่างมีอยู่ใน Chip Intel เท่านั้น
ซึ่งก็เหมืนสมัยที่ Intel พยายามผลักดัน RAM BUS ให้เป็นแรมที่ใช้กับcomputer แทนแรม DDR RAM สมัยนั้น แต่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ในการผลิต RAM BUS นะครับ ก็คือ ว่าหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองและพวกพ้องเห็นๆ ดีที่พันธมิตรไม่เอาด้วย จึงได้มี แต่ DDR RAM 1,2 ,3 จนถึงทุกวันนี้
แต่ด้วยว่า การโฆษณาชวนเชื่อ ของ Intel กรอกหู ปิดตา เราบ่อยมาก เลยมองภาพพจน์เหมือนเป็นคนดีของสังคม ครับ
(เพราะเขามีงบโฆษณาเยอะด้วยละ และมีผลให้คนเชื่อและขาย CPUในราคาแพงได้ โดยคนซื้อไม่เฉียวและยอมจ่ายเพราะเชื่อโฆษณา ว่าต้อง Intel in site เท่านั้น )
8. ฝ่าย AMD แผ่นกระดาษการทดสอบ เปรียบเทียบกับ Intel ที่ผมเก็บมาจากร้านในพันธ์ทิพย์ดูแล้ว คะแนนที่ชนะ Intel ก็ไม่ได้ เวอร์จนเกินไป ไม่มี กำกับ * ไว้ จะใช้ Chip ของใครก็ได้ประสิทธิภาพพอกัน ไม่ได้อยากขาย Chip ของตัวเองเป็นหลัก มุ่งให้ผู้ผลิตเมนบอร์ด ผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำ เพื่อขายในราคาถูกเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีได้เท่าเทียมกัน (ว่าแบบทางการเป๊ะเลย)
AMD ไม่มีโฆษณา เนื่องจากบริษัทเป็นรอง การทำโฆษณาต้องใช้งบประมาณสูง และทำไปก็ใช่ว่าจะประสบผลสำเร็จเสมอไป อีกอย่างไม่มีประวัติไม่ดี คือดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องโฆษณาให้คนรู้ว่าผมเป็นคนดีของสังคมนะครับ สู้นำงบประมาณนั้นมาทุ่มพัฒนา CPU ดีกว่า ให้เห็นเนื้อแท้ ดีกว่าเห็นภาพลวง
9. จะสังเกต แผ่นกระดาษตารางเปรียบเทียบ ระหว่าง AMD กับ Intel ผลที่ออกมา ต่างคนต่างชนะ คู่แข่ง ทั้งนั้น จึงมองไม่เห็นว่า จริงๆ แล้ว ใคร ดีกว่าใคร
10. ฝ่าย Intel การออกผลิตภัณฑ์ แต่ละครั้ง จะมีอายุ เป็นตัวกำหนด(แบบโกยเร็วไปเร็วแบบ สินมั่นคงประกันภัย) ยกตัวอย่าง การออแบบ Chip set แต่ละตัว ใช้ได้กับ CPU บางประเภทเท่านั้น เช่น ผมซื่อ เมนบอร์ด Chip 915 ใช้ กับ Dual core เวลาผ่านไป 6 เดือน ผมอยากใช้ core 2 duo ใช้ไม่ได้ บอกอยากใช้ก็ซื้อเมนบอร์ด Chip 945 ดิ เอ้า ไงเป็นงี้ ถ้าเป็น 4 core ก็ต้องเปลี่ยน เมนบอร์ดเป็น Chip 965 หรือ P5 พูดง่ายๆ กะขาย Chip กินไปเรื่อย ๆ ละ ใครจะทำไม
11. AMD ไม่เห็นงี้เง้าอย่างนี้ ใช้ได้กับทุกรุ่นได้ไม่เห็นต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดเลย นอกจาก ใช้ 4 Core มั้ง ถ้าจำไม่ผิด
12. สรุปถ้าใช้ Intel เมื่อต้องการเปลี่ยนไปใช้ CPU รุ่นที่สูงกว่าเดิม ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดด้วยครับ แต่ AMD ไม่ต้อง เปลี่ยน
13. ซื้อ CPU Intel 1ตัว เช่น E4700 =2.6G ราคา 4,650 บาท (ราคาวันที่ 5 ก.ค. 51 ) ถ้าซื้อ AMD 2X 5200 =2.7G ราคา 2,800 บาท(ราคาวันที่ 5 ก.ค.51) ต่างกัน 1850 เหลือเงิน ซื้อเมนบอร์ดได้ อีก 1ตัว พูดให้ง่าย คือ ซื้อ CPU Intel 1 ตัว = ซื้อ CPU AMD+Mainboard ในความเร็วเท่ากัน ดีกว่าซื้อ Intel ไหมครับ จะไปซื้อทำไมของแพงเพราะโฆษณา
14. AMD ลดปัญหาคอขวดของการส่งผ่านข้อมูลได้ โดยไม่มี Chip Northbridge ซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลระหว่างRAM กับ CPU โดยAMD บรรจุไว้ใน core ของตัว CPU จึงทำงานได้เร็วกว่าและไม่ต้องติดอยู่ที่เมนบอร์ด ซึ่งกินพื้นที่และต้องมีแผ่นระบายความร้อนให้เกะกะ และก็เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดความร้อนในเมนบอร์ด
15. AMD มีรางวัล Cool N’Quiet การจัดการระบบความร้อน ที่ดีและให้ประสิทธิภาพ
16. AMD เป็น 64 bit แท้ อธิบายแบบนี้นะครับ computer จะทำงานด้วยระบบเลขฐาน 2 คือ 0-1-2-4-8-16-32 เมื่อแปลงออกมาก็จะเป็น 0100000 คือ 1 นี่คือ 32 bit ถ้าเป็น 64 bit จะเพิ่มขึ้นมาอีกหลัก คือ 0-1-2-4-8-16-32-64 ซึ่งทาง Intel มักง่าย ก็นำเอา 32 Bit มาต่อรวมกัน สองตัวก็เป็น 64 bit เทียมไงครับ การทำงานก็จะเปรียบเทียบกับ เครื่องยนต์ ให้เห็นนะครับ อย่างของ AMD ออกแบบใหม่เครื่องเดียวใช้สูบเดียว ได้ 64 แรงม้า แต่ของ Intelเครื่องยนต์แต่ใช้ 2 สูบ ๆละ 32 ได้ 64 แรงม้าเท่ากันครับ น่าจะเป็นอย่างนี้ครับ การทำ4 Core ของ Intel ก็คือการนำเอา 2 core 2 ตัว มาต่อรวมกัน เป็น 4 core ฝ่าย AMD ทำ 4 Core เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ได้นำมาต่อกันเหมือน Intel ครับ พูดให้เข้าใจง่ายๆ Intel นำเครื่องยนต์ 2 สูบ 2 ตัวมาติดตั้งในห้องเครื่อง แล้วเรียกว่า 4 Core ฝ่าย AMD ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมดผลิตออกมาเป็นเครื่องยนต์เดียว 4 Core คุณว่าอันไหนมันยากง่ายกว่ากัน อันไหนแท้อันไหนเทียม
17. Intel มีดีที่ overclock ทำได้ง่าย และไปได้ไกลกว่า AMD เช่น Celeron D 2.66 G สามารถ Overclock ไปได้ที่ 3.1G เสถียรที่สุด (แล้วแต่ยี่ห้อเมนบอร์ดนะครับ ) แต่นั้นก็หมายความว่าต้องซื้อเมนบอร์ดที่สามารถปรับแต่ง การ overclock ได้ ซึ่งมีราคาแพงกว่า CPU มาก นี่ละที่ผมบอกว่า ฉลาดแต่ไม่เฉลียว (ถ้าในทางกลับกัน ซื้อ CPU แพงและซื้อเมนบอร์ดถูก ไม่ต้องมา overclock อาจจะดีกว่า )
18. แต่ที่ผมได้ใช้งาน CPU overclock ดูแล้ว ก็ใช้งานได้ไม่เร็วจริง ตามความจริง 3.1G เช่น overclock ได้ 3.1G ตามข้อ 17 เมื่อเทียบกับ AMD Athlon 3500+ 2.6 G การเล่นเกม ก็ไม่ดีเท่า AMD คล้าย ๆว่า เป็นความเร็วแบบเทียมๆนะ
19. ตัว AMD Athlon 3500+ 2.6 Gที่ผมใช้อยู่ ไม่ทราบท่านใดเป็นเหมือนผมบ้าง คือ ผมจะใช้ Acronis true Image backup เพื่อ Backup partition เมื่อเริ่มใส่แผ่น boot Acronis เครื่องจะเริ่มBoot และมีช่วงหนึ่งที่ข้อความ Please Wait เพื่ออ่านข้อมูลจากแผ่นboot เพื่อให้หน้าต่าง Acronis true image ขึ้นมาให้เราทำงานต่อไปได้ แต่ มันไม่รอ ครับวิ่งผ่านไปเข้า Windows ทันที่ ผมเปลี่ยนแผ่นใหม่แล้วก็เหมือนเดิม (ผมวิเคราะห์ไม่ถูก ว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่า ไปลอง Intel ในบริษัทผม Petium 4= 3G และ E6300 =1.8G
ก็ใช้ได้ทุกเครื่อง ไม่เป็นเหมือนเครื่องผมเลย ทุกวันนี้ใช้ได้แต่ Ghost 2003 อย่างเดียว ผมใช้ เมนบอร์ด MSI ครับ มาถึงทุกวันนี้ก็ยังพยายามจะใช้ Acronis True Image แต่ไม่สำเร็จ ยังไม่รองคือ น่าจะ Boot จาก Thumdriveดู
20. ข้อสำคัญ Intel แพ้ AMD เห็นๆ เพราะ intel ใช้ L2 มากกว่า AMD ถึงสองเท่า จึงจะสามารถทำงานได้ประสิทธิภาพเท่า AMD รุ่นความเร็วเท่ากัน เช่น
Intel รุ่น Core 2 duo ยกตัวอย่างรุ่น E4700 ความเร็ว 2.6G (ราคา 4,650 ราคาวันที่ 5 ก.ค. 51)
กับAMD 2X รุน 5200 ความเร็ว 2.6 G เท่ากัน(ราคา 2,800 บาท ราคาวันที่5 ก.ค. 51)

Intelจะใช้ L2 =2M แต่
AMD ใช้ L2= 512K

ซึ่งดูแล้วก็ต่างกันมากมากๆ ผประมาณ 3 เท่า ถ้าสองเท่า ก็จะเป็นรุ่น E2200 L2=1 M . . .)
แต่วัดผลทดสอบออกมา มีความใกล้เคียงกันมาก (เอาเป็นว่าไม่ต่างกันมากนัก)

ซึ่งความแตกต่างของ L2 นี้ สำคัญไหม ถ้าคุณลดลง เหลือ 1M Intel ก็เรียกอีกชื่อเป็น E1800,E20000,E2200 ราคาก็ลดลง เป็นพันละครับ แล้วคุณว่า L2 ราคาแพงไหมครับ
(ซึ่งสมัยก่อนที่จำได้ ถ้า L2 = 256 k ก็เรียก เป็น Celeron ถ้า L 2= 512 k ก็เรียก Petium4) ซึ่งราคาขายต่างกันเป็นพันเหมือนกัน และการทำงานก็ช้าเร็วต่างกันเห็นๆ จนแยกรุ่นได้
ซึ่งที่ทราบมา ขบวนการผลิตของ Intel ทำให้ ไปป์ ไลน์ ยาวขึ้นกว่าเดิม
การส่งข้อมูลจึงช้าลง ถ้าIntel ยังคงใช้ L2 ขนาด 512K เท่า AMD ผลการวัด
ทดสอบออกมาจะแพ้ AMD แน่นอน
จึงต้องใช้L2= 1M และ 2M เพื่อชดเชยดังกล่าว ก็แสดงว่า Intel ขาดทุนเพราะต้องใช้ L2 มาก ต้นทุนสูง (ขาดทุนกำไรเพราะ L2 ไปเยอะนะครับ)
(ไปดู CPU รุ่นเก่า อย่าง Petium 4 ก็ใช้ L2 มากกว่า คือ 512K ของ AMD Athlon ใช้เพียง 256 K เปรียบเทียบกันอย่างไร ก็แพ้ Intel อยู่วันยังค่ำ การเปรียบเทียบไม่ได้ให้ความยุติธรรมเลย มีแต่ทับถมกันมากกว่าเพื่อเอาดีใส่ตัวเอง) มีรุ่นเดียวที่ AMD ใช้ L2 มาก ถึง 1M คือ Athlon 64 FX ซึ่งแฟน AMD รู้ดีว่าแรงแค่ไหน)

ส่วน AMD ไม่ต้องลงทุนมาก แค่ ใช้ L2= 512K ก็วิ่งได้ไม่ต่างจากIntel
ถ้าสมมติ เล่นๆ ถ้า AMD ใส่ L2= 2M Intel คงถูกฝุ่นกลบมองไม่เห็นแน่นนอน อย่าง Athlon 64 FX ใช้L2=1M ก็วิงกระจายแล้ว
ผมพูดมาถึงตรงนี้ มีคนใน Zone Intel ตอกกลับทัน ที แล้วทำไมไม่ทำละ ผมอ่านแล้วผมไม่อยากตอบเพราะพูดมาขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีก ขอตอบในZone AMD ปลอดภัยกว่า ขอตอบแบบนี้นะครับ การที่ทำอะไรโดยใช้ทรัพยากรน้อยมากแต่ได้ประสิทธิภาพทีสูงที่สุด มนุษย์หรือคนฉลาดเขาจะทำกันนะครับ แต่ถ้าทำโดยใช้ทรัพยากรมากแต่ประสิทธิภาพด้อยลง คุณว่าคนประเภทไหนเขาทำครับ (ถ้าคนนั้นกลับมาอ่านอีก ก็น่าจะเข้าใจคำตอบนี้ได้นะครับ ถ้าไม่โง่จนเกินไปหรือไม่เข้าข้าง Intel จนโงหัวไม่ขึ้น)
20. ข้อนี้เป็นมุขเด็ดนะครับ ฝ่าย Intel CPU จะเป็นแบบไม่มีขา นะครับ ดังนั้นคนใช้ Intel จึงหนีไปไหนไม่พ้น ต้องใช้ Intel เท่านั้น เพราะโดนตัดขาหมดไปไหนไม่ได้ 555 ฝ่าย AMD เรายังมีขาอยู่ครับไปไหนก็ได้ อิสระเสรี
21. Intel จะขาด AMD ไปไม่ได้ เพรา กฎหมาย สหรัฐ ว่าด้วยเรื่องการค้าห้ามผูกขาดสินค้าโดยเด็ดขาด ยกตัวอย่าง IBM สมัยก่อน coputer ทุกเครื่องต้อง อิง Compatible IBM (เขียนผิดขออภัย) ทุกเครื่องเป็นการผูกขาดสินค้าcomputer ศาลตัดสินให้บริษัท IBM ต้องแยกเป็นบริษัทย่อยๆ หลายๆ บริษัท เพื่อไม่ให้มีอำนาจในการผูกขาสินค้าต่อไป จนปัจจุบันIBM ก็ยังไม่ไม่โด่งดังเหมือนสมัยก่อนที่ computer ความเร็ว 50Mz

*ความคิดเห็นที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับ บริษัท ที่กล่าวอ้างในบทความนี้แต่อย่างไร โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและตีความด้วยครับ

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

แฟลชไดรฟ์ 256GB ตัวแรกของโลก

Kingston ประกาศเปิดตัวแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ Data Traveler 300 ที่มีความจุสูงถึง 256GB ภายใต้ตัวถังที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก ซึ่งต้องยกนิ้วให้กับความพยายามของคิงสตันที่สามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้ด้วยการออกแฟลชไดรฟ์ที่มีความจุมากกว่าถึงสองเท่า!!!

หากถามว่า ความจุขนาด 250GB ของ Data Traveler 300 ทำอะไรได้บ้าง? เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ มันสามารถเก็บภาพยนต์ที่บันทึกด้วย Blu-ray (แผ่นละ 25GB) ได้ 10 เรื่องสบายๆ หรือจะเป็น DVD ก็ได้ 54 แผ่น (แผ่นละ 4.7GB) และ CD ได้ 365 แผ่น (แผ่นละ 700MB) แถมยังมีความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงถึง 20MB/s และเขียนข้อมูลได้เร็ว 10MB/s ซึ่ง Gadget ชิ้นนี้จะทำให้คุณเหมือนพกฮาร์ดดิสก์ไว้ในกระเป๋าเสื้อได้อย่างสบายๆ



สำหรับ Data Traveler 300 ทำงานได้กับทั้ง PC และ Mac แต่เฉพาะการใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows เท่านั้น ผู้ใช้จึงจะสามารถใช้ซอฟต์แวร์จัดการพาสเวิร์ดได้ สนนราคาของมันอยู่ที่ 900 เหรียญฯ หรือประมาณ 33,000 บาท โอ้ว...มายก็อด!!!

ข้อมูลจาก www.arip.co.th

การ์ดรุ่นใหม่ต่อได้ 6 จอพอใจหรือยัง?

ท่าทางเอเอ็มดี (AMD) จะหันมาเอาดีทางด้านหน่วยประมวลกราฟิก (GPU) ? แทนที่จะทำสงครามโพรเซสเซอร์ (CPU) กับอินเทล (Intel) เพียงอย่างเดียว ล่าสุดทางบริษัทได้ออกการ์ดกราฟิกรุ่นใหม่ (สนับสนุน DirectX 11) ชื่อว่า Eyefinity ที่มีคุณสมบัติที่จะทำให้ผู้ใช้หลายท่านหันมาสนใจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเหล่าเกมเมอร์ทั้งหลาย เพราะการ์ดกราฟิกรุ่นนี้สามารถต่อมอนิเตอร์ได้พร้อมกันถึง 6 จอ เพื่อแสดงผลเป็นหน้าจอเดียว...ว้าว!!!

สำหรับคุณสมบัติทางด้านเทคโนโลยียังไม่มีการเปิดเผยออกมามากนัก แต่ผลจากการสาธิตการทำงานที่มีการเปิดเผยออกมา มันน่ามหัศจรรย์มากที่การ์ดที่ใช้ GPU เพียงตัวเดียวทำงานร่วมกับคอนเน็คเตอร์แสดงผลมาตรฐาน (DisplayPort) หลายๆ ตัวได้พร้อมกัน ซึ่งในการสาธิต มันสามารถรองรับการแสดงผลบนจอขนาด 30 นิ้วจากบริษัท Dell ได้พร้อมกันถึง 6 จอ โดยได้รับการปรับแต่งให้ทำงานร่วมกันเป็นจอเดียว (แบบระบบมัลติวิชัน) ทีมีความละเอียด 7680x4800 พิกเซล
.

Eyefinity จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท AMD โดยทางด้านฮาร์ดแวร์จะใช้ ATI Radeons รุ่นใหม่ที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับมอนิเตอร์ 3 และ 6 จอ สามารถให้เอาต์พุทที่หลากหลายไมว่าจะเป็น DisplayPort, DVI, HDMI เป็นต้น ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ใหม่จะมีชื่อว่า SLS หรือ Single Large Surface ด้วยซอฟต์แวร์ตัวนี้ ผู้ใช้จะสามารถปรับแต่งให้มอนิเตอร์หลายๆ จอสามารถทำงานร่วมกับ Eyefinity ในลักษณะทีเป็นจอเดียวที่มีขนาดใหญ่ได้ ดูจากภาพการสาธิตแล้ว โดยเฉพาะเกมส์ดูน่าเล่นมากๆ เลยนะครับ

ข้อมูลจาก www.arip.co.th

Intel Core i5 โพรเซสเซอร์ปฏิวัติพีซี

ในทีสุด อินเทล (Intel) ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Core i5 โพรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ปฏิวัติโลกพีซีให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะการทำงานด้วย 4 แกนหลักที่มากกว่าโพรเซสเซอร์ปัจจุบันถึง 2 เท่า ประกอบกับการใช้เทคโนโลยีการผลิตโพรเซสเซอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์กับชิปตัวนี้ ยิ่งทำให้ผู้ใช้พีซีทั้งเดสก์ทอป และแลปทอปได้มีโอกาสใช้พลังประมวลผลอันทรงประสิทธิภาพ (แรง เร็ว มัลติทาสก์ ไม่ร้อน และประหยัดพลังงาน) สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม ถึงเวลาแล้วที่คุณผู้อ่านควรจะได้ทำความรู้จักกับ Core i5 มากกว่าแค่ชื่อของมันเท่านั้น

ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีในสมัยนั้นจะสามารถบีบอัดทรานซิสเตอร์กว่า 3 ล้านตัวให้เข้าไปอยู่ในชิปขนาดเล็ก เพื่อให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ (จากตู้เมนเฟรมขึ้นมาอยู่บนโต๊ะทำงาน) โดย "ทรานซิสเตอร์" ที่อยู่ภายในจะทำหน้าที่เหมือนสวิทช์ขนาดจิ๋วสามารถเปิดปิด เพื่อสร้างสัญญาณไฟฟ้า 1 และ 0 แทนข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล และยิ่งนานวันพวกมันจะถูกบีบอัดให้มีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งเล็กลงได้มากเท่าไร นั่นหมายถึง ชิปประมวลผลก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการประมวลผลมากขึ้นเท่านั้น และนั่นคือ ก้าวแรกของโพรเซสเซอร์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหลายล้านเครื่องทั่วโลก
แต่สำหรับ Core i5 โพรเซสเซอร์รุ่นล่าสุดที่อินเทลได้เปิดตัววันนี้ ภายในของมันมีทรานซิสเตอร์อยู่มากถึง 731 ล้านตัว (ประมาณ 244 เท่า เทียบกับสี่สิบปีที่แล้ว) ที่วางเรียงชิดติดกันอยู่ภายในชิปที่มีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของสแตมป์ และด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบและพัฒนาชิปตัวนี้ อาจถือได้ว่า Core i5 เป็นตัวแทนของเดส์กทอปพีซียุคใหม่ก็ว่าได้ แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อินเทลได้พัฒนาโพรเซสเซอร์ให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่ Core i5 จะมีพัฒนาการที่ถือว่า เป็นการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการออกแบบโพรเซสเซอร์ เนื่องจากมันมีการเปลี่ยนแปลงในการออกแบบถึง 9 ส่วนสำคัญๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ใช้ใน Core i5 ซึ่งปกติจะพบได้ในเซิร์ฟเว่อร์ระดับไฮเอ็นด์เท่านั้น แต่วันนี้มันได้มาอยู่บนโต๊ะ (desktop) หรือบนตัก (laptop) ของผู้ใช้แล้ว

ในส่วนของสถาปัตยกรรมทีใช้ในการพัฒนาโพรเซสเซอร์รุ่นใหม่นี้ วิศวกรของอินเทลใช้โค้ดเนมว่า "Lynnfield" (อยู่ในตระกูลเดียวกันกับ Nehalem) ซึ่งได้รับการพัฒนาครั้งแรกเพื่อใช้กับโพรเซสเซอร์ Core i7 โพรเซสเซอร์รุ่นพี่ที่มีพลังประมวลผลระดับไฮเอ็นด์ (พอๆ กับราคา) สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และเดสก์ทอปเวิร์กสเตชั่นอันทรงพลัง โดย Core i5 ได้ใช้โครงสร้างของสถาปัตยกรรมภายในที่สำคัญๆ จากโพรเซสเซอร์ Core i7 การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 45nm (จากเดิม 65nm) ทำให้สามารถเพิ่มทรานซิสเตอร์เข้าไปในชิปได้อย่างมหาศาล และผลจากการลดขนาดของทรานซิสเตอร์ลงได้อีก ทำให้การเชื่อมต่อการทำงานระหว่างทรานซิสเตอร์สั้นลง และเร็วขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้สามารถประมวลผลข้อมูลต่อวินาทีได้มากขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อที่สั้นลง เร็วขึ้น ของการทำงานระหว่างทรานซิสเตอร์ ยังช่วยประหยัดพลังงานลงได้มากอีกด้วย

สำหรับระบบการทำงานของ Core i5 จะมาพร้อมกับโพรเซสเซอร์ 4 แกน (เปรียบเทียบกับรถยนต์ทีมี 4 เครื่องยนต์ก็ได้) ต่อชิป ซึ่งมากกว่าถึงสองเท่าของชิปเดสก์ทอปในปัจจุบัน (dual-core) อย่างไรก็ตาม Core i5 จะไม่มีไฮเปอร์เธรดดิ้งแบบ Core i7 โดยโครงสร้างของ Core i5 จะเป็น Quad-Core 4-thread


คอมพิวเตอร์ที่ใช้โพรเซสเซอร์ Core i5 จะสามารถทำงานอย่างเช่น การแก้ไขวิดีโอไฮเดฟฯ บริการวิดีโอแชตผ่านสไกป์ที่สามารถเห็นภาพเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล (ไม่กระตุก) แม้ว่ากำลังเพิ่มเพลงเข้าไปในไลบรารี่ของไอจูนส์อยู่ในขณะนั้นก็ตาม นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ๆ ก็ยังได้รับการปรับแต่งการทำงานให้ใช้ข้อได้เปรียบของความสามารถของมัลติคอร์ และมัลติเธรดดิ้งอีกด้วย แอ๊ปเปิ้ลเพิ่งออก Snow Leopard Mac OS X 10.6 ส่วนไมโครซอฟท์ก็เตรียมเข็น Windows 7 ออกมา ซึ่งทั่งคู่สามารถทำงานร่วมกับ Core i5 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ภายใน Core i5 ยังมีโหมดเทอร์โบที่สามารถเร่งการทำงานได้เร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย โดยสามารถเรียกใช้กับการประมวลผลงานหนักๆ ได้ แถมยังสามารถตัดสินใจเลือกใช้จำนวนคอร์ทีเหมาะสมกับงานได้อีกต่างหาก ซึ่งทำให้มันไม่ต้องใช้เอ็นจิ้นทั้งสี่แกนตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อใช้งานทั่วไปอาจจะเหลือแค่ Core เดียวก็ได้ (นับเป็นโพรเซสเซอร์ที่สามารถบริหาร Core ได้ราวกับเปลี่ยนเกียร์คันเร่งของรถยนต์) ผลจากความฉลาดในการประมวลผลดังกล่าว ทำให้มันสามารถเร่งเครื่องจากความถี่ในการทำงานที่ 2.8GHz เป็น 3.2GHz ได้ เมื่อระบบต้องการในขณะที่ระบบยังคงทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ

จากพี่ใหญ่ Core i7 มาสู่น้องคนรองอย่าง Core i5 ในต้นปีหน้า ผู้ใช้ยังจะได้พบกับน้องคนเล็กอย่าง Core i3 ที่จะตามออกมา ซึ่งผู้บริหารอินเทลกล่าวว่า มันเหมาะกับผู้ใช้ในกลุ่ม entry level แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังทรงพลังด้วยสถาปัตยกรรมใหม่นั่นเอง การใช้ชื่อเรียกโพรเซอร์ด้วย Core ในลักษณะนี้ (ทั้ง Core i7, Core i5 และ Core i3) ก็เพื่อแก้ปัญหาความสับสนในโลโก และผลิตภัณฑ์ Core 2 ที่ออกมามากมายก่อนหน้านี้ สำหรับโพรเซสเซอร์ Atom ที่ใช้กับเน็ตบุ๊กก็จะยังคงได้รับการพัฒนาต่อไป ตามด้วย Celeron และ Pentium ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่รองรับตลาดผู้ใช้ในวงกว้าง
ข้อมูลจาก www.arip.co.th

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

การทำ Over Clock CPU

ที่จริงแล้ว ผมเองต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ใช่เซียน Over Clock

Over Clock คืออะไร

คือการนำเอาอุปกรณ์เช่น CPU ที่ออกแบบมาสำหรับให้ทำงานที่ความเร็วค่าหนึ่ง แต่นำมาใช้งานที่ความเร็วสูงกว่านั้น เช่น CPU ความเร็ว 400 MHz แต่นำมาใช้งานที่ 500 MHz แทน หรือนำเอา CPU ที่เป็นรุ่นความเร็ว 500 MHz มาทำงานที่ความเร็ว 667 MHz อะไรทำนองนี้ครับ ภาษาที่ใช้แทนสำหรับการ Over Clock ก็เช่น 400@500 หรือ 500@667 เป็นต้น นอกจากนี้ อุปกรณ์อื่น ๆ ก็สามารถนำมา Over Clock ได้เหมือนกันนะครับ เช่น RAM ที่เป็นแบบความเร็ว 100 MHz แต่นำมาทำงานที่ความเร็ว 133 MHz รวมถึงการ Over Clock การ์ดจอด้วยครับ เช่นปกติการ์ดจอทำงานที่ความเร็ว 110 MHz แต่เราตั้งให้ทำงานที่ 120 MHz อย่างนี้ก็เรียกว่า Over Clock เหมือนกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะนิยมทำ Over Clock กับ CPU มากกว่า

ข้อดีของการ Over Clock

ที่เห็นชัดเจนคือได้ใช้ CPU ที่มีความเร็วมากขึ้น โดยที่จ่ายเงินซื้อในราคาเท่าเดิม เช่น แทนที่จะซื้อ CPU ความเร็ว 500 MHz ก็เปลี่ยนเป็นการซื้อ CPU ที่มีความเร็ว 400 MHz มาทำ Over Clock เป็น 500 MHz ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ได้ใช้งาน CPU ที่ความเร็วเท่ากันในราคาที่ถูกกว่า และอีกแนวทางหนึ่ง ก็คือสมมติว่า คุณใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ไปนาน ๆ แล้ว เกิดมีความรู้สึกว่าเครื่องที่ใช้งานอยู่นั้น เริ่มจะมีความเร็วช้าไปบ้าง แต่ยังไม่อยากที่จะลงทุนเปลี่ยนเครื่องหรือ Upgrade เปลี่ยน CPU ใหม่ การนำเอา CPU ตัวเดิมนั้นมาทำ Over Clock ก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ที่จะได้ความเร็วเพิ่มขึ้นมา โดยการเสียเงินน้อยที่สุดครับ นอกจากนี้ยังได้ความรู้เกี่ยวกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย

ข้อเสียของการ Over Clock

เท่าที่ทราบมา จะเป็นการลดอายุการใช้งานของ CPU ลงไป เช่นจากเดิมที่เคยออกแบบมาให้ใช้งานได้ประมาณ 15 ปี ก็อาจจะมีอายุสั้นลงมาเหลือแค่ 10 ปีเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คงจะไม่มีใครใช้งาน CPU ได้นานขนาดนั้นหรอกครับ อีกข้อหนึ่งก็คือ เรื่องความร้อนของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะมีมากขึ้นเมื่อทำการ Over Clock เพราะว่าเหมือนกับการใช้งาน CPU แบบเกินกว่าค่าปกตินะครับ อ้อ อีกอย่างหนึ่ง เขาบอกว่า CPU ของคุณจะหมดประกันทันทีที่ทำการ Over Clock (ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่า จะตรวจสอบได้อย่างไร)

อันตรายจากการทำ Over Clock

ข้อควรระวังอย่างมากก็คือ ไม่ควรที่จะทำการ Over Clock มากจนเกินไป และต้องระวังเรื่องของการระบายความร้อนให้ดีด้วย (เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ จะสามารถดูค่าความร้อนจาก BIOS ได้โดยตรงครับ) หาก CPU ร้อนมาก ๆ ก็อาจจะเสียหาย ถึงขั้นพังไปเลยได้นะครับ ระวังกันให้ดีนะครับ หากใครอยากจะลอง ก็ขอให้ใช้วิธีค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ ทีละขั้นครับ และตรวจสอบความร้อนของ CPU อยู่เสมออย่าให้ร้อนจนเกินไป

จะเพิ่มความเร็วของ CPU ได้อย่างไร

ความเร็วของคอมพิวเตอร์ ที่เรียกกันว่ากี่ MHz มาจากตัวเลข 2 ตัวคูณกันครับ คือ FSB กับ Multiple หรือเรียกง่าย ๆ คือความถี่กับตัวคูณ นั่นเอง ปกติแล้ว CPU รุ่นเก่า ๆ เช่น Pentium 100 ถึง Pentium II รุ่นแรก ๆ และ Celeron จะใช้ FSB เป็น 66 MHz ถ้าเป็น CPU รุ่นหลังจากนั้นมา มักจะใช้ FSB ที่ 100 MHz หรือ 133 MHz แล้วครับ ความเร็วที่ได้ก็จะมีตัวคูณกำหนดเพิ่มเข้าไปด้วย ผมยกตัวอย่างเช่น 100 MHz จะมาจาก FSB=66 กับตัวคูณ 1.5 ครับ หรือ 133 MHz = 66x2, 200 MHz = 66x3, 366 MHz = 66x5.5, 400 MHz = 100x4, 600 MHz = 100x6 หรือ 667 MHz = 133x5 เป็นต้น

ดังนั้น หลักการเพิ่มความเร็วให้กับ CPU แบบง่าย ๆ ก็คือ ให้เพิ่มค่าของ FSB หรือ ตัวคูณเข้าไป เช่นจาก CPU ตัวเดิมเป็น 400 MHz ที่ 100x4 เราอาจจะตั้งค่าใหม่เป็น 100x4.5 แทนก็จะได้ความเร็ว 450 MHz ครับ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะง่ายอะไรขนาดนั้น สำหรับ CPU ของ AMD เช่น K6II, K6III ก็อาจจะใช้วิธีนี้ได้เลย แต่หากเป็น CPU ของ Intel รุ่นหลัง ๆ จะมีการล็อคตัวคูณมาจากโรงงานไว้แล้วเพื่อป้องกันผู้ขายหรือร้านค้านำมาทำ Over Clock แล้วลบตัวเลขความเร็วบนชิป โดยพิมพ์ตัวเลขค่าความเร็วที่สูงกว่าแทน นำมาหลอกขายลูกค้าหรือที่เรียกว่า CPU Remark ครับ ดังนั้นการ Over Clock CPU ของ Intel ก็จะไม่สามารถใช้วิธีการเพิ่มตัวคูณได้นะครับ ต้องใช้วิธีการเพิ่ม FSB อย่างเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ ในส่วนของ CPU AMD Athlon ก็อาจจะต้องมีการ์ดหรืออุปกรณ์พิเศษสำหรับการทำ Over Clock ด้วยนะครับ ลองหาอ่านจาก Link ด้านท้ายบทความนี้ดู

การปรับเปลี่ยนค่าต่าง ๆ ทำที่ไหน

การปรับเปลี่ยนค่าของ FSB หรือ ตัวคูณ รวมทั้งค่าต่าง ๆ เช่น Vcore ที่ผมจะพูดถึงต่อไป ต้องดูจากคู่มือของเมนบอร์ดประกอบด้วยนะครับ เพราะเมนบอร์ดแต่ละรุ่นจะไม่เหมือนกับ บางรุ่นอาจจะทำการปรับโดยการเปลี่ยน jumper บนเมนบอร์ดโดยตรง แต่บางรุ่นอาจจะเป็นการเข้าไปปรับค่าใน BIOS ครับ ดังนั้นต้องดูตามคู่มือของเมนบอร์ดด้วย หากไม่มีคู่มือ ก็คงต้องลองมองหาเอาเอง ทั้งจากบนเมนบอร์ดที่อาจจะมีการพิมพ์ติดไว้ หรือการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ด้วยครับว่ามีให้ปรับด้วยหรือเปล่า

เริ่มต้นการทำ Over Clock

หลักการกำหนดความเร็วของ CPU ก็ทราบกันแล้วนะครับ ดังนั้นการทำ Over Clock ก็เริ่มต้นได้เลย โดยการตั้งค่า FSB และ Multiple หรือตัวคูณใหม่ให้ได้ค่าที่เร็วกว่าเดิม โดยให้ทำการเพิ่มขึ้นไปทีละขั้นนะครับ เช่นจาก 400 MHz ที่ 100x4 ก็เพิ่มเป็น 420 MHz ที่ 405x4 ก่อน แล้วทดลองใช้งานดูสักพักหนึ่งว่ามีปัญหาการใช้งานหรือไม่ ความร้อนเพิ่มขึ้นมามากน้อยเพียงใด หากยังเป็นปกติดี ก็ให้เพิ่มความเร็วไปเรื่อย ๆ จนถึงขีดสุดของ CPU ครับคือเครื่องจะเริ่มมีปัญหา เข้า Windows ไม่ได้ หรือเข้าได้แต่ใช้งานหนัก ๆ แล้วจะแฮงค์ นั่นแปลว่าถึงขีดสุดของ CPU แล้ว ก็ให้ลดความเร็วลงมา 1 ขั้นก่อนที่จะเริ่มพบปัญหาครับ ถ้าการใช้งานต่าง ๆ เป็นปกติดีก็ถือว่าผ่าน (ในขั้นตอนแรกนะครับ) ขั้นตอนต่อไปก็คือการจัดการกับระบบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำการ Over Clock หรือเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น โดยการปรับปรุงค่าต่าง ๆ ที่จะแนะนำต่อไป

การปรับ Vcore กับการทำ Over Clock

ก่อนอื่นมารู้จักกันก่อน Vcore คือค่าของ ไฟเลี้ยงของ CPU ซึ่งแต่ละรุ่นจะใช้ไฟเลี้ยงไม่เท่ากัน ดังนั้นต้องศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีนะครับว่า ค่าปกติของ CPU แต่ละรุ่นเป็นเท่าไร เช่น K6II, K6III จะใช้ 2.2 V. , Celeron, PII และ PIII จะใช้ 2.0 V. และ PIII รุ่นใหม่ ๆ จะใช้ที่ 1.6 V. ส่วนใหญ่จะสามารถเพิ่มค่าของ Vcore ขึ้นไปได้อีกประมาณ 0.2 - 0.4 V. โดยที่การเพิ่ม Vcore ให้มากขึ้นก็จะสามารถทำให้การ Over Clock ทำได้มากขึ้นตามไปด้วย แต่การเพิ่ม Vcore ไปมากเท่าไร ความร้อนของ CPU ก็จะเพิ่มมากตามไปด้วยนะครับ หลักการเพิ่ม Vcore โดยทั่วไปก็คือ ให้เพิ่มขึ้นทีละน้อยที่สุดครับ เช่นทีละ 0.05 V. หรือทีละ 0.1 V. และทดลองใช้งานดู หากยังไม่เสถียรนัก ก็ลองเพิ่ม Vcore ขึ้นไปอีก โดยที่รวมแล้ว ต้องไม่มากจนเกินไปนะครับ คือไม่ควรเกินกว่าปกติมากกว่า 0.2 - 0.4 V. ไม่เช่นนั้น CPU ของคุณอาจจพังได้นะครับ (สำหรับท่านที่โชคดี ได้ CPU ตัวที่ดี ๆ มาใช้อาจจะสามารถนำมาทำ Over Clock โดยที่ไม่ต้องเพิ่มไฟ Vcore เลยก็ได้ (แต่ค่อนข้างจะหายาก)


การระบายความร้อนที่ดี สำหรับการทำ Over Clock

หัวใจสำคัญของการทำ Over Clock ก็คือการระบายความร้อนออกจากตัว CPU ยิ่งเราทำการระบายความร้อนได้ดีมากเพียงใด ก็จะทำให้เราสามารถทำ Over Clock ได้มากขึ้นเท่านั้นครับ และยังสามารถยืดอายุการใช้งานของ CPU ได้อีกด้วย วิธีการระบายความร้อนก็มีอยู่ไม่กี่วิธีนะครับ ลองอ่านดูและทำความเข้าใจ หลังจากนั้นลองเลือกทำตามที่คุณคิดว่าพอจะทำได้ อันไหนมันโหดเกินไป ก็ข้าม ๆ ไปบ้างก็ได้ (แต่ถ้าทำได้ทุกอย่างก็ดี)
การเปลี่ยนพัดลมระบายความร้อนของ CPU
เรียกได้ว่าเป็นสิ่งแรกเลยที่ควรจะทำครับ เนื่องจากว่าโดยปกติแล้ว พัดลมของ CPU ที่มีมาให้เดิม ๆ นั้นส่วนใหญ่จะเป็นแค่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น การที่เราเปลี่ยนพัดลมระบายความร้อนของ CPU ใหม่ให้ตัวใหญ่ขึ้น มีความแรงของลมมากขึ้น ก็ทำให้การระบายความร้อนดีขึ้นครับ

การติดพัดลมที่เคสเพิ่มเติม
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้โดยไม่ยากนัก หาพัดลมมาติดเพิ่มอีกตัวหนึ่งที่เคส สำหรับดูดลมเข้า และจะมีการเป่าลมออกอยู่แล้วที่พัดลมของ Power Supply นะครับ ซึ่งจะช่วยได้มากเลยทีเดียว

การขัด Heatzing ให้เรียบขึ้น
โดยใช้กระดาษทรายน้ำเบอร์ 1500 วางให้เรียบบนแผ่นกระจก แล้วเอา Heatzing ขัดผิวหน้าเบา ๆ ให้ขัดวนไปมาเป็นรูปเลข 8 คอยเติมน้ำไปเรื่อย ๆ อย่าใจร้อนและห้ามออกแรงกดเด็ดขาด เราจะรู้ได้อย่างไงว่ามันเรียบแล้ว ก็ต่อเมื่อมันเกิด สูญญากาศ จะเกิดแรงตรึงผิวระหว่าง กระดาษทราย กับ Heatzing และห้ามเอากระดาษทรายหยาบขัดก่อนโดยเด็ดขาด พึงคิดไว้เสมอว่าเราจะทำการขัดผิวหน้าให้เรียบเท่านั้น เพื่อที่มันจะได้สัมผัสกับแผ่นระบายความร้อนของ CPU ให้แนบสนิทมากที่สุด

การทำ Lapping CPU
วิธีนี้คือ การขัดผิวสัมผัสของ CPU ด้านที่จะติดกับ Heatzing ให้เรียบนะครับ ซึ่งผมไม่ขอแนะนำให้ทำเพราะว่าอาจจะเกิดความเสียหายต่อ CPU ได้และหากคิดจะนำ CPU ไปขายต่อก็คงจะยากแล้วนะครับ หลักการทำ Lapping ก็ก็คล้าย ๆ กับการขัด Heatzing นั่นแหละครับ คือใช้กระดาษทรายเริ่มด้วยเบอร์ 800 ขัดตัว CPU ก่อน พอเริ่มเห็นทองแดงแล้วก็ใช้เบอร์ 1500 และปิดท้ายด้วยเบอร์ 2000 เพื่อความเงางาม สะท้อนแสงได้เลย เวลาขัดต้องขัดเป็นรูปเลข 8 อย่าขัดเป็นวงกลมหรือขัดไปในทางใดทางหนึ่ง ขัดให้สีเงินหมดก็พอแล้ว อย่าขัดมากเกินไป ไม่งั้นอาจทำให้เกิดความเสียหายได้

การใช้ ซิลิโคน ทาระหว่าง CPU กับแผ่น Heatzing
การใช้ ซิลิโคน (สำหรับแผ่นระบายความร้อนโดยเฉพาะนะครับ) ทาระหว่าง CPU กับ Heatzing ซึ่ง ซิลิโคน จะช่วยนำพาความร้อนไปสู่ Heatzing ได้ดีขึ้น ทำให้การระบายความร้อนออกจากตัว CPU ทำได้ดีขึ้นครับ อันนี้แนะนำให้หามาทานะครับ โดยวิธีการก็คือ ทาให้บางที่สุด แต่ให้แนบสนิทด้วยนะครับ เพราะเราต้องการให้มีพื้นที่ว่างระหว่าง CPU กับ Heatzing ให้น้อยที่สุด

การทำระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งครับที่สามารถทำได้ แต่ก็คงจะลำบากและอาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษสักหน่อย หลักการก็คือการนำเอา Heatzink แบบพิเศษที่จะมีช่องทางเดินของน้ำผ่านเข้ามาด้วย และใช้มอเตอร์ ปั้มน้ำให้ไหลเวียนผ่าน เพื่อนำพาเอาความร้อนออกไปด้วย
การเปิดฝาเคส และใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่หลาย ๆ คนนิยมทำกัน จะช่วยให้ระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะเกะกะ ไม่สะดวกนัก
การใช้เคสแบบพิเศษ
อันนี้ขอพูดถึงเล่น ๆ นะ แต่ว่าที่จริงก็มีผู้นำมาใช้งานได้จริง ๆ แล้ว คือการนำเอาตู้เย็นขนาดเล็ก ๆ มาดัดแปลงทำเป็นเคส ซึ่งแน่นอน ระบบทำความเย็นยังไงก็ต้องดีกว่าการใช้พัดลมอยู่แล้ว

การทำ Burn in CPU

คือการใช้งาน CPU แบบหนัก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ อย่างต่อเนื่องภายใต้อุณหภูมิสูง เช่นการเพิ่มไฟ Vcore เข้าไปอีกนิดหน่อย และหาโปรแกรมที่ต้องใช้งาน CPU หนัก ๆ มารันค้างทิ้งไว้ เช่น Prime95 หรือโปรแกรม Benchmark ต่าง ๆ โดยที่การทำ Burn in จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ Interface ต่าง ๆ ภายในตัวชิป CPU ทำให้มีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น ดังนั้น การ Burn in จึงมีส่วนช่วยให้สามารถใช้งาน CPU ได้ที่ความเร็วมากขึ้นด้วย หลักการทำ Burn in สำหรับการ Over Clock ก็คือ หลังจากที่ปรับความเร็วได้สูงที่สุดแล้ว ให้ทดลองทำ Burn in หรือใช้งานหนัก ๆ สัก 1 สัปดาห์ หลังจากนั้น จึงทดลองเพิ่ม ความเร็วขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะได้ความเร็วที่สูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้

ประสิทธิภาพของแคช Level 2 บน CPU

ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการ Over Clock ก็คือความสามารถของแคช L2 ว่าจะสามารถทำงาน ได้ตามความเร็วของ CPU หรือ FSB หรือไม่ เนื่องจากการทำงานของ แคช L2 นั้นจะทำงานสัมพันธ์กับความเร็วของ FSB หรือ CPU โดยขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรม ของระบบนั้น ๆ บน Socket7 แคช L2 จะมีความถี่เดียวกับ FSB แต่สำหรับ PentiumII ความถี่จะเป็นครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU และบน Celeron จะใช้ที่ความถี่เดียวกับ CPU เลย ดังนั้นความสำเร็จจากการ Over Clock จึงขึ้นอยู่กับ ประสิทธิภาพ ของแคช L2 ด้วย ถ้าการ Over Clock ไม่สำเร็จ ก็ให้ลอง Disable Cache L2 ใน BIOS แล้วลองดูใหม่ ถ้าระบบเสถียรขึ้น หรือสามารถบูตได้ก็แสดงว่า อาจจะมาจากสาเหตุนี้ก็ได้ (แต่อย่าลืมว่าการ Disable Cache L2 นี้จะทำให้ประสิทธิภาพของ CPU นั้นลดลงไปด้วย)

รู้จักกับระบบความเร็วบัสต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์กันก่อน

โดยทั่วไปแล้ว การทำ Over Clock โดยการเพิ่ม FSB ให้สูงขึ้นนั้น จะเป็นการเพิ่มความเร็วของระบบบัสต่าง ๆ ในเครื่องด้วยนะครับ ดังนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่บนระบบบัสเหล่านี้ ก็จะต้องทำงานที่ความเร็วสูงขึ้นตามไปด้วย การเลือกใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น VGA Card, Sound Card หรือแม้แต่ Hard Disk ก็จะต้อง สามารถรองรับการทำงาน ของบัสต่าง ๆ ที่สูงผิดปกตินี้ได้ด้วยครับ เพื่อความเข้าใจระบบบัสต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ง่ายขึ้น ผมขอแบ่งออกง่าย ๆ ตามนี้
ความเร็วของ External Clock หรือ FSB ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมาตราฐานครับ เช่น 50, 55, 60, 66, 75, 83, 100, 133, 150 หรือ 180 MHz การปรับค่าต่าง ๆ จะทำได้ละเอียดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดแต่ละรุ่น
ความเร็วของ PCI Bus จะมีความเร็วมาตราฐานที่ 33 MHz หรือเป็น 1/3 เท่าของ FSB สำหรับเมนบอร์ดที่ดี ๆ ก็จะสามารถปรับอัตราส่วนของ PCI ได้หลายค่าเช่น 1/2, 1/3 หรือ 1/4 เท่าของ FSB ก็ได้ เช่น เราสามารถใช้ FSB ที่ 133 MHz แต่ว่า PCI ยังสามารถทำงานได้ที่ 33 MHz นะครับโดยการปรับอัตราส่วนเป็น 1/4 เป็นต้น
ความเร็วของ AGP Bus โดยทั่วไปแล้ว AGP จะเป็น Slot สำหรับการ์ดแสดงผลครับ ซึ่งใน 1 เครื่องคอมพิวเตอร์จะมี AGP Slot เพียงแค่อันเดียวนะครับ โดยที่ AGP Bus จะทำงานที่ความเร็ว 66 MHz หรือเป็น 2/3 เท่าของ FSB นะครับ หลักการอื่น ๆ ก็เหมือนกันกับ PCI คือสามารถปรับเป็นอัตราส่วนความเร็วค่าต่าง ๆ เช่น 2/3 หรือ 1/2 เป็นต้น
ความเร็วของ RAM Bus ส่วนใหญ่แล้ว RAM จะทำงานที่ความเร็วเดียวกับ FSB แต่ว่าในเมนบอร์ดบางรุ่นที่ดี ๆ ก็ยังสามารถปรับอัตราส่วนความเร็วได้ด้วย เช่น FSB เป็น 133 MHz แต่ RAM ทำงานที่ 100 MHz

โดยสรุป ก็คือการเลือกซื้อเมนบอร์ดที่สามารถปรับค่าต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณทำการ Over Clock ได้ดีขึ้น จากข้อมูลข้างบน จะเห็นว่า หากเราใช้เมนบอร์ดแบบทั่ว ๆ ไปใช้งาน FSB ที่ 120 MHz ลองมาดูกันนะครับ จะเห็นว่า PCI จะต้องทำงานที่ 40 MHz และ AGP ก็จะต้องทำงานที่ 80 MHz ซึ่งอุปกรณ์บางชนิด จะไม่สามารถทำงานได้ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของปัญหาการ Over Clock ที่ไม่ควรมองข้ามไป

อุปกรณ์รอบข้าง ก็มีผลต่อการทำ Over Clock ด้วย

จากความรู้เรื่องของความเร็ว FSB และระบบบัสต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า การทำ Over Clock โดยการเพิ่ม FSB และทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานที่ความเร็วไม่มาตราฐาน ดังนั้น การเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ก็มีความสำคัญมากนะครับ ว่าอุปกรณ์แต่ละชนิดนั้น จะสามารถทนรับความเร็วที่ผิดปกติได้มากน้อยเพียงใด อุปกรณ์ที่ผมพูดถึง ก็เช่น VGA Card, Sound Card, Hard Disk หรือ RAM นะครับ ดังนั้นต้องเลือกกันให้ดี

Power Supply ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม

หลาย ๆ ท่านอาจจะมองข้ามปัญหาของ Power Supply ไป แต่ที่จริงแล้ว กำลังไฟของอุปกรณ์จ่ายไฟเช่น Power Supply นี่ต้องถือว่ามีความสำคัญมากเหมือนกันครับ คุณลองนึกดูนะ ว่าการเพิ่มความเร็วของ CPU จะทำให้ต้องใช้กำลังไฟ เพิ่มขึ้นมากเท่าไร การติดพัดลมเพิ่มเติม ก็ล้วนแต่กินไฟทั้งนั้น ดังนั้นหากเป็น Power Supply ที่ใช้งานมานาน ๆ แล้วหรือมีกำลังไฟต่ำ ๆ ก็ต้องพิจารณากันด้วย

สายการผลิต หรือเทคโนโลยีที่ใช้ใน CPU ก็มีส่วนสำคัญ

การเลือก CPU ในแต่ละรุ่น หรือแต่ละสายการผลิต ก็มีส่วนสำคัญกับการทำ Over Clock ว่าจะได้มากหรือน้อยด้วยนะครับ ผมยกตัวอย่างเช่น Celeron 366 MHz เปรียบเทียบกับ Celeron 533 MHz นะครับ สมมติว่า CPU 2 รุ่นนี้ผลิตมาจากเทคโนโลยีเดียวกัน ซึ่งสามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุดน่าจะได้ใกล้เคียงกัน แต่ว่าหากเรามามองหลักการ Over Clock ซึ่งสำหรับ Celeron นั้นจะล็อคตัวคูณ ทำให้เราใช้วิธีการเพิ่ม FSB ได้อย่างเดียว จะเห็นว่า 366 = 66x5.5 ในขณะที่ 533 = 66x8 นะครับ ซึ่งลองนึกภาพการนำเอา CPU 2 ตัวนี้มาทำงานที่ FSB 100 MHz ก็จะได้ 366@550 กับ 533@800 ซึ่งโอกาสที่เราจะได้ตัว 533@800 นี่แทบจะไม่มีเลยทีเดียวนะครับ ดังนั้น CPU รุ่นแรก ๆ ที่เพิ่งออกมา จะสามารถนำมาทำ Over Clock ได้ดีกว่ารุ่นหลังนะครับ ยกตัวอย่างเช่น Celeron II 566 MHz ตอนนี้ที่เพิ่งออกมา หลายคนสามารถใช้ FSB 100MHz ได้สบาย ๆ ครับ หรือ PentiumIII 500 รุ่นแรก ๆ ก็สามารถใช้งานที่ FSB 133 MHz ได้เป็นต้น

การเพิ่ม ตัวคูณ กับเพิ่ม FSB อะไรดีกว่ากัน

การทำ Over Clock ที่ดีควรจะเพิ่ม FSB นะครับ เพราะว่า FSB คือความเร็ว External Clock ที่จะเป็นตัวกำหนดความเร็วของอุปกรณ์อื่น ๆ ให้ทำงานเร็วขึ้นด้วย การที่เราลด FSB ลงมาแต่เพิ่มตัวคูณเข้าไป(ปัจจุบันcpu น้อยตัวนักที่จะเิพิ่มตัวคูณได้) อาจจะได้ตัวเลขที่สูงขึ้น แต่ที่จริงแล้วความเร็วโดยรวม ๆ อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมามากนัก ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรใช้วิธีเพิ่ม FSB